สร้างสุขภาวะคนวัยทำงานด้วย ‘ข้อมูล’: เมื่อหัวใจของประเทศยังถูกมองเห็นเพียงครึ่งเดียว

ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์

ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

มสช. ชวนคิด | 20 พฤษภาคม 2568 | ฐาณัฒรวีย์ ศรีสยาม

ข้อมูลนำมาซึ่งเหตุที่มาของผลที่เห็นหรือสิ่งที่ปรากฏ การทำงานของนักวิชาการที่สำคัญคือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อให้ได้ผลสรุปของข้อมูลในประเด็นที่ต้องการรู้ทั้งในภาพรวมและเฉพาะเจาะจง แล้วนำมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขปัญหา การวางแผน หรือการออกแบบนโยบาย กิจกรรม ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับงานในอีกบทบาทหนึ่งของคุณหมอฝน – ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากจะยังออกตรวจเป็นแพทย์ประจำแล้ว ยังทำงานในบทบาทของนักวิจัยหลักใน “โครงการการศึกษาสถานการณ์ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องของวัยทำงานในประเทศไทย เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาระบบติดตามการดูแลสุขภาพวัยทำงานอย่างบูรณาการในระดับองค์กร: สถานการณ์ปัญหาสุขภาพ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และพฤติกรรมสุขภาพวัยทำงาน” โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

เป้าหมายใหญ่ของงานวิจัยนี้คืออะไร

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อที่จะศึกษาสถานการณ์สุขภาพของวัยทำงาน ทั้งในแง่ความเจ็บป่วย โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพในกลุ่มวัยทำงาน เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพให้กับคนวัยทำงานซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
“เพราะตอนนี้วัยทำงาน จะมีปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายอย่างแล้วก็ในแง่พฤติกรรมสุขภาพด้วยเพราะว่า พฤติกรรมสุขภาพก็จะเป็นสิ่งที่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเหล่านั้น” คุณหมอฝนกล่าว

สำหรับกลุ่มวัยทำงานที่เลือกมาศึกษาในงานวิจัยนี้ คือ ข้อมูลสุขภาพและการเข้ารับบริการสุขภาพ ของกลุ่มวัยทำงานของประเทศไทย (คนไทย) ระหว่างปี พ.ศ. 2559 – 2563 ซึ่งเน้นเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ ขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายจึงเน้นไปที่แรงงานในระบบ

ในส่วนแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ศึกษามาจากข้อมูลที่เผยแพร่ (open data) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันใช้ข้อมูลหลักจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ด้านพฤติกรรมสุขภาพจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งทำในปี 2564 ชื่อใหญ่ก็คือข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพประชากรไทย แหล่งข้อมูลถัดมาจากสำนักสารสนเทศบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลการเบิกจ่าย การรักษาพยาบาลต่างๆ ทั้งสิทธิประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ แหล่งที่สามคือข้อมูล HDC หรือ Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข เป็นข้อมูลที่ทางหน่วยงานสาธารณสุข จะลงบันทึกเวลาที่มีคนเข้ามาใช้บริการ ทั้งในโรงพยาบาล และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลที่เรียกว่า secondary data หรือว่าข้อมูลทุติยภูมิ วิธีการวิจัยคือ ดึงข้อมูลที่มีการสำรวจแล้ว มีการเก็บแล้ว นำมาวิเคราะห์

“ในกลุ่มเป้าหมาย เราพยายามรวบรวมให้ครอบคลุมวัยทำงานทั้งหมด ซึ่งในกลุ่มวัยทำงานทั้งหมดมีทั้งในระบบและนอกระบบ จะมีข้อจำกัดอยู่ว่าถ้าเป็นข้อมูลการรักษาพยาบาล ยังไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นแรงงานในหรือนอกระบบ รวมแล้วกลุ่มเป้าหมายก็จะประมาณ 40 ล้านคน แต่ว่าที่มาใช้บริการรักษาพยาบาล (ของรัฐ) จะยังไม่ถึง…” คุณหมอฝน อธิบาย

เมื่อนักวิจัยต้องใช้ข้อมูลมาขยับนโยบาย กลับไม่ง่ายในการได้มา

ในส่วนของข้อมูลที่ได้มานั้นจะยังไม่ครอบคลุมและสามารถคัดกรองออกมาเป็นแรงงานในระบบได้จริงทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่โครงการเองก็ยอมรับว่า ณ ปัจจุบันการได้มาของข้อมูลที่เป็น open data นั้น ยังไม่ง่าย และมีความเข้าใจระหว่างหน่วยงานที่ไม่เท่ากัน ในเรื่องของ ข้อจำกัด ขอบข่ายในการให้ข้อมูลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

“ตัวข้อมูลเองจากที่เราได้ดำเนินการไป ต้องบอกก่อนเลยว่าขอยากมาก เพราะว่าหลังจาก พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเข้ามา ทุกคนก็ค่อนข้างจะกังวล ทุกหน่วยงานทุกองค์กร จะค่อนข้างกังวลในการแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลกัน ถึงแม้ว่าเราจะทำเอกสารเป็นทางการก็ยังค่อนข้างยากอยู่มาก และในส่วนของความครอบคลุมของข้อมูล เรื่องของการรักษาพยาบาล ด้วยความที่คนทำงานมีการใช้บริการที่ค่อนข้างหลากหลาย จะไม่เหมือนผู้สูงอายุที่เน้นไปใช้โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้บ้าน แต่พอเป็นคนทำงานบางทีใช้ใกล้ที่ทำงาน หรือว่าใช้ใกล้บ้าน นี่ก็อาจจะเป็นคนละกลุ่มกัน คนทำงานจะอยากได้บริการที่รวดเร็ว เพราะฉะนั้นเขาก็จะไปใช้เอกชนค่อนข้างเยอะ ทีนี้ในภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือว่าโรงพยาบาล อันนี้เราจะไม่ค่อยได้ข้อมูลมาค่ะ เพราะฉะนั้นทำให้ข้อมูลการรักษาพยาบาลของวัยทำงานนี้ เราได้มาแค่ส่วนที่เขาไปใช้บริการของรัฐ ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ ซึ่งมันจะไม่ใช่ภาพที่เต็มและทำให้เห็นว่าสุขภาพของคนทำงานเป็นอย่างไร…

ข้อมูลประกันสังคมเราได้มาเป็นภาพใหญ่ แต่ว่าก็จะยังไม่ครบ เพราะว่าจะมีคนที่ไม่ได้ใช้สิทธิประกันสังคมแต่ใช้สิทธิจ่ายที่เรียกว่า out of pocket payment ก็คือจ่ายออกจากกระเป๋าตัวเองก็มีเหมือนกัน”
คุณหมอฝนเล่า

สิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับแรงงานในระบบส่วนมาก จะมีการทำสัญญาโดยให้ตัวผู้ประกันตน ไปใช้บริการในสถานพยาบาลเอกชนใกล้บ้านทั้งแบบคลีนิคและโรงพยาบาลที่มักจะเป็นเครือข่ายกัน เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ตรงนี้ทำให้กลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่ๆ ที่อยู่ในประกันสังคมเข้าไปใช้ทางภาคเอกชน ข้อมูลสุขภาพก็จะไปอยู่กับเอกชนกับคลินิกที่เข้าไปใช้บริการ

“ซึ่งอันนี้บ้านเรายังไม่เชื่อมโยง ทำให้เราได้ข้อมูลยาก แต่ว่าด้วยความที่สำนักสารสนเทศบริการสุขภาพเขามีข้อมูลการเบิกจ่ายของประกันสังคม อันนี้เราก็จะได้มาส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนทำงานก็มีอาจจะไปใช้เงินสด ทำให้เราไม่มีข้อมูลส่วนที่ไปใช้เงินสดเลย” คุณหมอฝนอธิบายเสริม

ข้อมูลอีกภาพหนึ่งที่ขาดไป คือการซื้อยากินเองจากร้านขายยา คุณหมอฝนชวนเรามองภาพเส้นทางพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของคนทั่วไป มักเริ่มต้นจาก การซื้อยากินเองก่อน อันที่สองคืออาจจะไปคลินิกเล็กๆ ใกล้บ้านแบบที่เดินไปเองได้ แล้วก็ค่อยไปถึงโรงพยาบาล ช่วงของข้อมูลจึงหล่นหายไประหว่างทางนี้เช่นกัน

“บางทีซื้อยากินเองที่คลินิกก็หายแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้จะเป็นอันที่เราไม่ได้ข้อมูลเลย ถ้าเขาไปซื้อยา ถ้าเขาไปคลินิก แต่ว่าส่วนที่เราจะเริ่มได้คือส่วนที่เริ่มไปใช้สิทธิประกันสังคม ซึ่งอาจจะเป็นคลินิกประกันสังคมก็ได้ หรือว่าโรงพยาบาลประกันสังคม..” คุณหมอฝนเล่า

เรื่องข้อมูลสุขภาพของแรงงานในระบบ สำนักงานประกันสังคมจะเป็นผู้ที่มีข้อมูลอยู่ มีทั้งผู้ประกันตนท่านนั้นสังกัดอยู่สถานประกอบการใดซึ่งทำให้สามารถแยกประเภทของภาคอุตสาหกรรมได้ และในส่วนของโรงพยาบาลไหนด้วย ตรงนี้ถ้าได้ข้อมูลจากทางสำนักงานประกันสังคม จะมีประโยชน์มากในการเจาะกลุ่มได้ว่าวัยทำงานกลุ่มไหน มีปัญหาสุขภาพใช้บริการสุขภาพเรื่องอะไร แต่ทว่า ณ ตอนนี้โครงการยังไม่ได้ข้อมูลตรงนี้เข้ามาเสริม

“ในเรื่องของข้อมูลที่ทางหน่วยงานแชร์มาให้ คือจริงๆ แล้วถ้าเราสามารถทำให้เป็นข้อมูลที่ D Identify หรือหมายความว่าไม่ได้บอกว่าเป็นของใคร ไม่ได้บอกชื่อ นามสกุล เลข 13 หลัก บอกมาแค่อายุ เพศ โรคประจำตัว…เพราะว่ามันไม่สามารถไปถึงตัวบุคคลได้ แต่พอมีความกังวลเรื่องนี้ ก็ทำให้คนไม่ค่อยกล้าแชร์ หน่วยงานไม่ค่อยกล้าแบ่งปันข้อมูลกัน ก็เลยทำให้ ความพยายามที่จะขับเคลื่อนเรื่อง open data หรืออะไรมันค่อนข้างยากอยู่ตอนนี้… แต่ว่าในแง่ของ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ จะมีการคุ้มครองในฐานต่างๆ ยังมีอีกหลายๆ ฐานซึ่งตรงนี้ อาจจะยังเข้าใจกันไม่ลึกพอเลยทำให้กลัว ค่อนข้างกลัวกันมากค่ะ” คุณหมอฝนเล่า

เมื่อฟังคุณหมอฝนเล่าถึงกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูล จึงได้เห็นว่า การขับเคลื่อนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของ open data สำหรับประเทศไทยนั้นจะยังคงต้องใช้ความพยายามต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาประเทศ จากสภาพปัญหาปัจจุบันของแหล่งข้อมูลสุขภาพนี้ ทำให้การดึงข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ได้ไม่ครอบคลุม ภาพที่ขาดไป คือ ข้อมูลฝั่งภาคบริการเอกชน หากสามารถนำข้อมูลทั้งหมดมาใช้ได้จริงจะทำให้เราจะเห็นภาพได้ว่าแท้จริงแล้ว คนวัยทำงานไปหาหมอบ่อยแค่ไหนและเสียเงินไปกับการเจ็บป่วยรักษาด้วยเรื่องอะไรเป็นหลัก

“ก็คือความยากของบ้านเราอาจจะเป็น ข้อมูลที่ยังไม่เชื่อมโยง เป็นหนึ่งเดียว” คุณหมอฝนกล่าว

หรือแท้จริงแล้ว ข้อมูลสุขภาพ เจ้าตัวควรถือเอาไว้เอง

ในมุมนี้ คุณหมอฝนได้เสนอแนวทางอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งน่าสนใจและน่าจะมีความเป็นไปได้ คือ ประชาชน ผู้รักษาตัว เป็นผู้ที่ถือข้อมูลการรักษาไว้เองด้วย เพราะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จำเป็นต้องรับรู้ว่าตัวเองเจ็บป่วยรักษาด้วยโรคอะไร ใช้ยาอะไรในชีวิตบ้าง ก็ต้องยอมรับกันว่า บางครั้ง บางคน เราประชาชนคนทำงานตาดำๆ ที่ไม่รู้ความเรื่องแพทย์ เรื่องยา บางครั้งก็ไม่รู้ว่าการเจ็บป่วยของตัวเองเป็นอะไร รักษาด้วยกระบวนการอย่างไร

“ก็มีข้อเสนอว่าข้อมูลควรอยู่ที่เจ้าตัวหรือเปล่า หมายถึงว่าตัวคนไข้ ตัวประชาชนว่าเขาจะเห็นทุกภาพไม่ว่าเขาจะไปซื้อยา เขาจะไปคลินิกหรือจะไปโรงพยาบาล ตัวเขาจะเป็นคนเห็นข้อมูลทุกอย่างแล้วก็ถ้าเขาสามารถเก็บข้อมูลให้ตัวเองได้ อันนี้ก็จะทำให้เวลาที่เขาไปหาที่ไหน เขาสามารถแชร์ข้อมูลที่ไปรักษาทั้งหมดให้กับผู้ให้บริการคนนั้นได้ ผู้ให้บริการก็จะเห็นภาพรวมของพฤติกรรมหรือว่าปัญหาสุขภาพ ของคนคนนั้นได้ดีขึ้น คืออันนี้ถ้ามีแหล่งข้อมูลที่เจ้าตัวเก็บไว้ ก็สามารถแชร์ให้กับการศึกษาหรือการวิจัยเพื่อเอาไปแก้ปัญหา หรือว่าไปผลักดนเชิงนโยบาย น่าจะเป็นข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด” คุณหมอฝนเสนอ

ข้อมูลที่มี ณ วันนี้ สะท้อนปัญหาสุขภาพวัยทำงาน

จากข้อจำกัดที่เกิดขึ้น โครงการนี้จึงมีฐานข้อมูลที่เล็กลงตามกลุ่มข้อมูลที่สามารถหามาได้ โดยพยายามจับในส่วนของการเจ็บป่วยที่เน้นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พฤติกรรมสุขภาพ และกิจกรรมทางกาย เพราะว่ายังไม่สามารถศึกษาความเจ็บป่วยทั้งหมดได้ และอีกเรื่องหนึ่งที่ สสส. เองให้ความสำคัญคืออุบัติเหตุจราจร ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียต่อปีมากเช่นกัน

บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปัญหาอุบัติเหตุจราจร

จากผลสำรวจพบว่า ในเรื่องของการสูบบุหรี่และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัญหาค่อนข้างมากในกลุ่มวัยทำงานเพศชาย มีอัตราการสูบบุหรี่ค่อนข้างสูง เกิน 1 ใน 3 และเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งการสำรวจนี้เน้นเฉพาะกลุ่มที่ดื่มประจำหมายถึงสัปดาห์ละครั้งขึ้นไป ในกลุ่มบุหรี่ เมื่อดูว่าภูมิภาคใด หรือ อุสาหกรรมใด พบมากที่สุด ก็พบว่ามีความหลากหลายมีความแตกต่าง คือบางอุตสาหกรรมมีผู้สูบบุหรี่สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยภาคใต้มีการสูบบุหรี่ที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ

“ถ้ายกตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีปัญหาเรื่องนี้มากๆ ก็อย่างเช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างที่เป็นแรงงานในระบบ จะมีร้อยละของผู้สูบบุหรี่หรือว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ค่อนข้างสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น ถ้ากรณีที่จะไปลงโครงการสร้างเสริมสุขภาพกับกลุ่มนี้ ก็เลือก 2 เรื่องนี้เป็นหลัก ในการที่จะพยายามปรับเปลี่ยนน่าจะพฤติกรรม แล้วก็จะเห็นว่าในส่วนของภาครัฐ ถ้าเป็นกลุ่มที่ทำทางด้านการศึกษา หรือว่าทางด้านสุขภาพ จะมีปัญหาสองเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ทั้งเรื่องบุหรี่แล้วก็เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วก็ชัดว่าพอเป็นกลุ่มที่อาจจะต้องอยู่ในแวดวงการศึกษาหรือว่าสุขภาพ ก็จะมีพฤติกรรมสองด้านนี้น้อย” คุณหมอฝนกล่าวถึงผลการสำรวจ

ในกลุ่มของผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้จะมีถึงร้อยละ 13 ของแรงงานในระบบทั้งหมด รวมทั้งคนที่ดื่มประจำและไม่ประจำด้วย มีพฤติกรรมว่าดื่มแล้วขับถึงร้อยละ 13 ซึ่งนับว่าเยอะมาก

“ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่สามารถบอกได้ว่า ดื่มแล้วขับแล้วเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่สำรวจก็จะบอกยากมากว่า มันอาจจะมากกว่านี้หรือเปล่า แล้วก็คนที่เคยถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุ ก็จะประมาณครึ่งหนึ่งที่เคยเกิดอุบัติเหตุด้วย บางคนมากกว่า 1 ครั้งด้วย อันนี้ค่อนข้างอันตรายมากเพราะว่าในการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งเราไม่สามารถบอกได้เลยว่า มันจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยหรืออุบัติเหตุที่ทำให้เสียชีวิต เพราะฉะนั้นพฤติกรรมที่ว่าดื่มแล้วขับหรือว่าเคยขับแล้วเกิดอุบัติเหตุนี้ เป็นอันที่สะท้อนว่าเป็นประเด็นที่ต้องเร่งมารณรงค์ว่า ทำอย่างไรให้วัยทำงานโดยเฉพาะวัยทำงานในระบบ ไม่ดื่มแล้วขับเพราะว่าเขาเองเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว ในการที่จะหารายได้เข้าเลี้ยงครอบครัว แล้วถ้าต้องสูญเสียเขาไป อันนี้จะทำให้ครอบครัวลำบากมาก” คุณหมอฝนกล่าว

ทั้งนี้ในเรื่องของการสูบบุหรี่ พบประเด็นที่น่าสนใจว่า ในกลุ่มคนที่เลิกบุหรี่ได้ จากจำนวนประมาณ 3,000 กว่าคน มีแค่ 20 คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปใช้บริการให้คำปรึกษาเพื่อการเลิกบุหรี่จากทางโรงพยาบาลได้ ส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเลิกได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น การหักดิบ หรือว่าลดจำนวนมวนที่สูบลง ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องพึ่งพาตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าการพึ่งพาบริการให้คำปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่สำหรับวัยทำงานที่เป็นแรงงานในระบบยังค่อนข้างน้อย หมายถึงว่าไม่ได้สามารถเลิกได้จากการให้คำปรึกษา

พฤติกรรมการกินที่ส่งผลต่อสุขภาพ

ในส่วนพฤติกรรมการกินอาหาร ต่างๆ คุณหมอฝนเล่าว่า ไม่ว่าจะเป็นอาหารไขมันสูง การเติมเครื่องปรุง หรือว่าอาหารที่มีความหวาน อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ พบว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในระบบบริโภคอาหารเหล่านี้ประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ เมื่อลงไปดูในแต่ละอุตสาหกรรมปรากฏว่ามีพฤติกรรมการกินที่ไม่ต่างกันมาก ซึ่งหมายถึงว่า ถึงแม้ว่าทางด้านการศึกษาหรือสุขภาพมีพฤติกรรมอีกด้านหนึ่งเรื่องการบริโภคบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดี แต่เรื่องพฤติกรรมการกินจะใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ จากผลนี้แสดงว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องความรู้อย่างเดียว ที่ทำให้คนเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เมื่อเป็นเรื่องอาหาร จะมีประเด็นเรื่องการเข้าถึงอาหารปลอดภัย อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะว่าอาหารสุขภาพหาได้ยากกว่า เช่น การกินผักสด ที่จะดีต่อสุขภาพ ต้องสะอาดต้องล้าง ต้องเลือกแหล่งที่มา มีความยุ่งยากในการประกอบอาหาร เมื่อเป็นวัยทำงานก็จะเน้นความรวดเร็ว รีบกินแล้วรีบไปทำงานต่อ ทำให้เรื่องของอาหารสุขภาพเป็นเรื่องที่ถูกละเลย

นอกจากความปลอดภัยแล้วเรื่องของปริมาณที่เพียงพอเหมาะสมต่อวันก็ถูกละเลยไปด้วยเช่นกัน

“แล้วก็อาหารสุขภาพหมายถึงอาหารที่มีผักผลไม้เพียงพอ อันนี้ร้อยละของคนที่รับประทานเพียงพอนี้ก็น้อยมากไม่ถึงร้อยละ 20 ไม่ถึง 1 ใน 5 เพียงพอหมายถึงว่า การรับประทานผักผลไม้ 3 ส่วนขึ้นไป หรือว่าผักผลไม้ 5 ส่วนขึ้นไป ผักหนึ่งส่วนนี้จะหมายถึงว่า ผักสุก 1 ทัพพี ผักดิบ 2 ทัพพี ลองนึกภาพว่าถ้าเราต้องทานผัก 3 ทัพพีที่เป็นผักสุก หรือว่า 6 ทัพพีที่เป็นผักดิบ อันนี้จะค่อนข้างเยอะมาก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่วัยทำงานเราก็จะทานไม่ค่อยถึง ก็เลยเป็นที่มาว่าสัดส่วนของคนที่รับประทานผักผลไม้เพียงพอค่อนข้างต่ำมาก” คุณหมอฝนกล่าว

จากพฤติกรรมเรื่องการกิน เรื่องของการเติมเครื่องปรุง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง และการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไขมันในเลือดสูง นำไปสู่โรคอ้วนตามมา คุณหมอฝนได้เล่าถึงข้อมูลที่ได้ว่า ในการสำรวจครั้งนี้ มีข้อมูลการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสู่งของผู้ที่ตอบแบบสอบถามมาด้วย ทำให้เห็นว่า ผู้ที่มีภาวะอ้วน หมายถึงว่า มีดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 25 ขึ้นไป พบถึงร้อยละ 20 ของคนทำงานทั้งหมด ซึ่งนับว่าค่อนข้างเยอะ ถึงหนึ่งในห้าของข้อมูลทั้งหมด ที่มีภาวะอ้วน ซึ่งภาวะนี้ก็จะนำไปสู่โรคอื่นๆ ตามมา อันได้แก่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สิ่งนี้นำไปสู่ความสูญเสีย และคนวัยทำงานที่มีภาวะนี้ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่แข็งแรง หรือมีปัญหาหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ตื่นมาไม่สดชื่น เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

ด้านกิจกรรมทางกาย

พฤติกรรมสุขภาพอีกด้านหนึ่งคือเรื่องกิจกรรมทางกาย จากข้อมูลพบว่าวัยแรงงานยังมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ กิจกรรมทางกายที่เพียงพอหมายความว่า เป็นกิจกรรมที่มีความเหนื่อยปานกลาง เหนื่อยในที่นี้หมายถึงว่ามีหัวใจเต้นเร็วขึ้นแต่ยังสามารถพูดจบประโยคได้ ความเหนื่อยปานกลางนี้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ในส่วนที่เป็นความเหนื่อยหนัก คือหัวใจเต้นแรงขึ้นพูดไม่จบประโยคอย่างน้อย 75 นาที ต่อสัปดาห์ รวม 225 นาที ต่อสัปดาห์ จึงนับว่าเพียงพอในวัยผู้ใหญ่

“ส่วนถ้าเป็นวัยที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่น 15-17 ปี พอดีในวัยทำงานเรารวมกลุ่มนี้เข้ามาด้วย อันนี้จะนับว่าควรมีกิจกรรมทางกาย 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็คือ 420 นาที เพราะฉะนั้นกลุ่มไหนก็ตามที่กิจกรรมทางกายที่ไม่ถึงนี้ก็จะนับว่าไม่เพียงพอ ซึ่งของเราได้มาว่าคนที่มีกิจกรรมเพียงพอ แค่ร้อยละ 20 กว่าๆ เพราะฉะนั้นไม่เพียงพอก็คือ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามีภาวะเนือยนิ่งค่อนข้างสูงด้วย” คุณหมอฝน อธิบาย

จากผลที่ได้ในพฤติกรรมสุขภาพด้านต่างๆ นี้ ทำให้ การออกแบบนโยบายเพื่อขับเคลื่อนรณรงค์สร้างเสริมสุขภาพ จะสามารถเจาะประเด็นที่ตรงกับปัญหาของแต่ละพื้นที่ หรือว่าแต่ละอุตสาหกรรมได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะต่อองค์กร หรือ สถานประกอบการ

เรื่องของข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คุณหมอฝนกล่าวว่า จากที่สำรวจพบว่าเรื่องของการให้คำปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่คนวัยทำงานมีการเข้าถึงน้อยมาก เพราะฉะนั้นถ้าสามารถจัดให้มีบริการนี้ในสถานประกอบการได้จะช่วยได้มากขึ้น

“เพราะว่าตอนนี้ สถานประกอบการที่ขนาด 200 คนขึ้นไปจะต้องมีห้องพยาบาลให้คนเข้าไปใช้บริการ แล้วก็ถ้ามีบริการให้คำปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่ได้ ก็จะช่วยให้คนทำงานสามารถเลิกบุหรี่ได้มากขึ้นไม่ต้องพึ่งตนเองด้วยการหักดิบด้วยตนเอง ซึ่งอันนั้นอัตราการสำเร็จมันค่อนข้างจะต่ำกว่าที่จะไม่กลับมาสูบซ้ำ” คุณหมอฝนกล่าว

อีกด้านคือเรื่องของกิจกรรมทางกาย จากผลสำรวจพบว่ามีแค่ร้อยละ 7 ที่สามารถออกกำลังกายบ่อยๆ ที่ทำงานได้ คือร้อยละ 93 ใช้สถานที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สวนสาธารณะ ฟิตเนสต่างๆ

“จริงๆ แล้วคนทำงานใช้เวลาอยู่ที่สถานประกอบการมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน บางคนอาจจะอยู่ถึง 10 – 12 ชั่วโมง ถ้าสามารถออกกำลังกายที่ทำงานได้อันนี้จะเพิ่มโอกาสของการออกกำลังกายแล้วก็จะเพิ่มกิจกรรมทางกายแล้วก็ลดความเสี่ยง ของพวกโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ ก็คิดว่ามีโอกาสที่สถานประกอบการจะช่วยเอื้อเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน คือบางทีห้องฟิตเนสอาจจะค่าใช้จ่ายสูง แต่แค่ทำทางเดินที่ราบเรียบเพียงพอที่เขาจะสามารถเดินหรือวิ่งอย่างต่อเนื่องได้ หรือว่าทำสัญญากับหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น อบต. ที่เขามีพื้นที่ มีสนามกีฬาอย่างนี้ แล้วก็ขอเข้าไปใช้ตามเวลา จะทำให้คนทำงานเข้าถึง facility หรือสถานที่ออกกำลังกายได้ง่ายขึ้นแล้วก็จะทำให้เพิ่มโอกาส การมีกิจกรรมทางกายเพียงพอมากขึ้น” คุณหมอฝนกล่าว

ข้อเสนอนี้นอกจากสถานประกอบการจะเริ่มต้นเองได้แล้ว คุณหมอฝนเสนอว่า ในส่วนของข้อมูลสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สามารถเอาไปใช้เป็นค่าเฉลี่ยหรือค่ากลางของอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ ในเชิงการสร้างตัวชี้วัดความเปลี่ยนแปลงในสถานประกอบการ เช่น จากผลสำรวจอุตสาหกรรมนี้มีผู้สูบบุหรี่เท่านี้ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีองค์กรรับทุนจากสำนัก 8 ไป ก็อาจจะสามารถบอกได้ว่าจากตั้งต้น ร้อยละของผู้สูบบุหรี่เป็นเท่าไหร่ จะลดให้เหลือเท่าไหร่ จะสามารถทำให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยได้ไหม เพื่อเป็นการยกระดับของโครงการให้มีผลลัพธ์ (outcome) ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


ก้าวต่อไปของโครงการฯ

คุณหมอฝนกล่าวว่า ณ ปัจจุบัน โครงการศึกษานี้อยู่ในช่วงวิเคราะห์ข้อมูล ลำดับต่อไปคือการพยายามวิเคราะห์ข้อมูลเท่าที่ได้มา แล้วสะท้อนให้เห็นว่าในส่วนของการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นอย่างไร ซึ่งจะเหลือข้อมูลที่เป็นข้อมูลการใช้บริการรักษาพยาบาลของสำนักสารสนเทศบริการสุขภาพ และข้อมูล HDC หรือ Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข อีก 2 ส่วนที่คุณหมอคาดว่าน่าจะสามารถสะท้อนปัญหา โรคไม่ติดต่อเรื้อรังของวัยทำงานได้ในกลุ่มที่มาใช้บริการทั้งที่ใช้ประกันสังคมและข้าราชการ ทั้งนี้จะสามารถบอกเป็นภาพกว้างๆ ยังไม่สามารถเจาะเป็นแรงงานในระบบได้

การมีข้อมูลที่สามารถเจาะจงประเด็นสุขภาพ เจาะจงพื้นที่ และกลุ่มเป้าหมายได้ จะสามารถทำให้สามารถวิเคราะห์เจาะกลุ่มที่ชัดเจน สามารถจำกัดวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพได้ชัดเจนขึ้นและมีประสิทธิผลสูงขึ้นได้ คุณหมอฝนให้ข้อคิดเห็นว่า “การทำโครงการกระจายออกไปอาจจะได้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนลงไป ถ้าเราลงให้ตรงแล้วก็มีพลังมากขึ้นอันนี้ก็คิดว่ามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น”

ส่งท้ายทั้งในฐานะคุณหมอที่ยังออกตรวจคนไข้ และพบปัญหาสุขภาพมากมายรายวัน และในฐานะที่เป็นนักวิจัยในโครงการที่มองเห็นข้อมูลด้านสุขภาพ คุณหมอฝนได้ฝากถึงคนวัยทำงานว่า

“จากการวิเคราะห์ ข้อมูลก็ทำให้เห็นค่ะว่า ที่มาของปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในวัยทำงานเนี่ย มันก็มีที่มาจากพฤติกรรมด้วย แต่อันนี้ก็เข้าใจวัยทำงานทุกคนเลยว่า priority หรือลำดับความสำคัญเราก็จะอยู่ที่งาน เพราะฉะนั้นจะให้เราใช้เวลาอยู่กับการดูแลสุขภาพเนี่ย อันนี้ก็จะเป็นความท้าทายค่อนข้างมาก ทีนี้ในวัยทำงานเนี่ยเราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้ดูแลสุขภาพ แต่พอไปถึงวัยสูงอายุก็กลายเป็นว่าเราก็ต้องเอาเวลามารักษาโรคที่เราป่วย เหมือนกับว่าเราเอาสุขภาพไปแลกงานแลกเงิน แล้วเราก็มาป่วยตอนท้าย เพราะฉะนั้น จริงๆ ก็อยากจะเชิญชวนให้ทุกคน ช่วยลองแบ่งเวลาวันละนิดละหน่อยค่ะ เริ่มจากเล็กๆ น้อยๆ มาดูแลตัวเองในวัยทำงาน เพราะว่าถ้าเราจะเริ่มจากเยอะๆ มันจะทำไม่ได้ เอาน้อยๆ ก่อนเลย แบบ 5 นาที 10 นาที หันมาทานผักมากขึ้น หันมาออกกำลังกายทีละนิดละหน่อย เพื่อว่าเราจะได้ทำเป็นนิสัยแล้วหลังจากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มเวลาได้ แล้วเราก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พอแก่ก็แก่อย่างแข็งแรงค่ะ” คุณหมอกล่าวพร้อมรอยยิ้มและความปรารถนาดี

ทำงานอย่างมีความสุข ทำทุกวันให้มีสุขภาวะที่ดี เพื่อได้ใช้ชีวิตที่ยืนยาวเก็บเกี่ยวผลรางวัลของการทุ่มเทในวัยหนุ่มสาวและเป็นสูงวัยที่มีพลังกันด้วยกัน.