สร้างองค์กรสุขภาวะ ด้วยข้อมูลสุขภาพคนทำงาน

คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ

ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

มสช. ชวนคิด | 20 พฤษภาคม 2568 | ฐาณัฒรวีย์ ศรีสยาม

เรารู้กันอยู่แล้วว่า NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเส้นเลือด รวมถึงหลอดเลือด เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมและความเสี่ยงจากการชีวิต วิถีการกิน อยู่ คิด และปฏิบัติตน การใช้ชีวิตที่มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ทำให้มีภาวะอ้วน เป็นปัจจัยส่งผลทั้งสิ้น ประมาณ 20 ปีก่อน เราอาจคิดว่าโรคเหล่านี้เป็นโรคธรรมดาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันนี้พบว่า โรค NCDs พบมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน
ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยและกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย กลุ่มคนวัยทำงานต้องทำงานหนัก สุขภาพพังสะสม เสี่ยง NCDs ตามมาอีกเป็นแพคเกจ และพบการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากขึ้นด้วยสาเหตุดังกล่าว

สุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีแข็งแรง นำมาซึ่งประสิทธิภาพประสิทธิผลที่ดีของงาน แต่คนทำงาน ณ วันนี้ กำลังเผชิญภาวะเครียดสะสม หมดไฟ หลายคนอยู่ในความรับผิดชอบดูแล เป็น “Sandwich Generation” ภาระหน้าที่สองด้านส่งผลต่อสุขภาพของคนทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพงานลดลง ส่งผลกระทบถึงองค์กร แต่คนวัยทำงานต้อง “ทำงาน” อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ ติดดูแลครอบครัว, ตัวเอง, ไหนจะพ่อแม่สูงวัย บางคนทุ่มเททำงานให้ออฟฟิศแทบตายสุดท้ายผลออกมาก็ยังไม่ดี ยิ่งทำยิ่งเครียด เป็นปัญหาวนลูป

หัวหน้างาน องค์กร จะช่วยเหลือลูกน้อง พนักงาน คนทำงานได้หรือไม่ ทำอย่างไรองค์กรจะสามารถช่วยสนับสนุนสุขภาวะให้เกิดขึ้นแก่คนทำงานได้ วันนี้เรามาพูดคุยกับ คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งกำลังขับเคลื่อนแนวคิด Happy Workplace เพื่อสร้างองค์กรแห่งความสุข ช่วยจัดสมดุลชีวิตของคนทำงาน ให้มีสุขภาวะที่ดี ด้วยการใช้ฐานข้อมูลสุขภาพมาออกแบบแนวทางสร้างเสริมสุขภาพ

ถ้าเราปรับพฤติกรรมการกินแล้วแต่อาหารก็ยังสามารถทำร้ายเราได้อยู่ดี อะไรคือทางเลือก ทางออก ของเรา

หากแบ่งประชากรในประเทศเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มเด็กเยาวชน กลุ่มคนทำงาน กลุ่มผู้สูงอายุ (รวมกลุ่มเปราะบาง) คนทำงานจะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่มากที่สุดในประเทศ และเป็นกำลังหลักในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านคนจากประชากรในประเทศประมาณ 65 ล้านคน และเป็นกลุ่มที่ดูแลในอีก 2 กลุ่มที่เหลือนั่นคือ กลุ่มเด็กและเยาวชน และกลุ่มผู้สูงวัยรวมถึงกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนทำงานจึงเป็นพลังสำคัญ

“เรามองว่าถ้าเค้าเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพตัวเองได้ เค้าก็จะเอาความรู้พวกนี้ไปใช้กับที่บ้านเขา กับชุมชนของเขาได้ ที่ทำงานจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการเรียนรู้ ในขณะที่องค์กรเองก็มีศักยภาพในการช่วยสร้างเสริมสุขภาพพนักงาน ทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อการที่จะเริ่มดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว ไปดูแลชุมชนต่อได้อีก” คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนงาน

ทำไมต้องทำงานผ่านองค์กร องค์กรจะได้อะไรจากการทำเรื่องนี้

เพราะคนวัยทำงานใช้ชีวิตในองค์กร 1 ใน 3 ต่อวัน อีกประการหนึ่ง องค์กร หรือหน่วยงาน หรือบริษัท มีศักยภาพที่สำคัญ คือมีระบบต่างๆ ที่สามารถจะมาสนับสนุน ให้เอื้อต่อการดูแลสุขภาพ เช่น การมีนโยบายที่สนับสนุนให้พนักงานดูแลสุขภาพตัวเอง สามารถจัดเป็นระบบสวัสดิการ หรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ในองค์กรได้ สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) จึงมีแนวทางในการทำงานส่งเสริมสุขภาวะคนวัยทำงานผ่านองค์กร ด้วยการสร้างและขยายผลต้นแบบองค์กรสุขภาวะ ส่งเสริมทัศนคติของผู้บริหารและบุคลากรให้ตระหนักถึงความสำคัญ พัฒนาแกนนำนักสร้างสุขภาพภายในองค์กรเพื่อวางแผนองค์กรแห่งความสุข ที่ตอบโจทย์ในแต่ละบริบทขององค์กร


“บางองค์กรสามารถให้พนักงานไปออกกำลังกายแล้วเอาบิลมาเบิกได้ หรือสวัสดิการดูแลสุขภาพอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา หรือบางที่มีนโยบายเรื่องของโรงงานสุขภาพ บางที่มีนโยบายออกกำลังกายบางวันของสัปดาห์ อีกประการหนึ่ง องค์กรมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ความรู้อบรม เช่น ออกกำลังกาย โยคะ นั่งสมาธิ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยดูแลพนักงาน บางที่มีถึงขนาดว่ามีนักสุขภาพจิตเพื่อให้คำปรึกษาในองค์กร เพราะความเครียดเป็นประเด็นมากๆ และบางที่เอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยออกแบบการติดตามผลลัพธ์การขับเคลื่อนด้วย” คุณพงษ์ศักดิ์ เล่าเสริม

แต่ก็มักเป็นคำถามย้อนกลับมาเช่นกันว่า การที่องค์กรจะลงทุนทำเรื่องเหล่านี้นั้น สิ่งที่องค์กรจะได้รับกลับคือคือสิ่งใด คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ได้อธิบายว่า พนักงานที่มีสุขภาพที่ดี มีจิตใจที่ดี ทำให้เกิด Productivity หรือ ผลลัพธ์ของงานที่มีคุณภาพและปริมาณตามที่องค์กรต้องการ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการผลิตหรือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการลงทุนกับทรัพยากรบุคคลอีกรูปแบบหนึ่ง และในมุมของ Engagement การมีส่วนร่วม ความผูกพันต่อองค์กรก็จะมีสูงขึ้นด้วย อัตราการขาด ลา มาสาย มักจะลดน้อยลง รวมไปถึงเรื่องของค่ารักษาในการเจ็บป่วยที่มาเบิก ก็มักจะลดน้อยลงด้วยสำหรับองค์กรที่มีการทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ

“ฉะนั้นในภาพรวมจึงดีต่อตัวคนทำงานเอง ดีต่อองค์กร ดีถึงระดับประเทศของเราด้วย เพราะภาระทางการเงินในกองทุนสุขภาพก็ลดน้อยลงด้วย เราเชื่อว่าการมีบุคลากรในประเทศที่มีสุขภาพที่ดีก็ส่งผลถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเรา และตอนนี้เราอยู่ในสังคมสูงวัย ซึ่งต้องขยายฐานอายุเกษียรณออกไป ซึ่งนั้นก็หมายความว่าเราต้องมีความพร้อมกับทุกงาน พร้อมกับทุกสถานการณ์ และพร้อมกับทุกความเปลี่ยนแปลง” คุณพงษ์ศักดิ์ อธิบาย

สำนัก 8 มีแนวทางการทำงานร่วมกับองค์กรอย่างไร

คุณพงษ์ศักดิ์ ได้เล่าถึงภาพรวมว่า การที่เราจะมีสุขภาพที่ดี ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเราออกไปวิ่งแล้วเราจะมีสุขภาพที่ดี บางคนออกไปวิ่งเป็นประจำ แต่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด มีฝุ่น มีคนสูบบุหรี่อยู่รอบๆ ก็ไม่สามารถมีสุขภาพที่ดีเต็มร้อยได้ สิ่งนี้คือมีสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยร่วม หรือ Social Determinants of Health (ปัจจัยทางสังคมกำหนดสุขภาพ) และตัวบุคคลต้องมีความรอบรู้เรื่องสุขภาพที่ดี (Health Literacy) ซึ่งครอบคลุมในหลายมิติ ทั้งมิติทางกาย มิติทางใจ มิติทางปัญญา สภาพแวดล้อมสังคม ชุมชน คนรอบข้าง การสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีให้เกิดขึ้นจึงต้องมีการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดีด้วย

“เป็นยุทธศาสตร์ของ สสส. ที่ว่าด้วย 7+ 1 โดยเราพยายามเข้าไปควบคุมตัวปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรค NCDs ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ อาหาร กิจกรรมทางกาย มลพิษ หรือฝุ่นพิษ pm2.5 ควันรถที่เราเจอถือว่ามีผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภัยเงียบนะ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้แต่มันมีผลต่อเรา และเรื่องของอุบัติเหตุ ที่กล่าวมานี้คือ 7 ประเด็น ส่วนบวกอีก 1 คือ พวกโรคอุบัติใหม่ทั้งหลาย ที่จะต้องเตรียมรับมือ อย่างโควิดที่ผ่านมา ทุกองค์กรต้องมีการวางแผนเรื่องสุขภาพที่จะครอบคลุมประเด็นเหล่านี้” คุณพงษ์ศักดิ์ เล่าเสริม

สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) จึงออกแบบเป็นชุดความรู้ Happy Work Place ความสุข 8 มิติ โดยใช้ความสุขพื้นฐานแปดประการ (Happy 8) เป็นแนวทางในการบริหารจัดการชีวิตให้มีความสุขอย่างยั่งยืน สร้างทัศนคติบวกต่อมุมมองในการดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสมาชิกที่ดีต่อครอบครัว องค์กร และสังคม โดยมีความสุขที่แท้จริงบนพื้นฐาน ความสุขแปดประการที่สมดุลกับชีวิต ประกอบด้วย Happy Body (สุขภาพดี), Happy Heart (น้ำใจงาม), Happy Society (สังคมดี), Happy Relax (ผ่อนคลาย), Happy Brain (หาความรู้), Happy Soul (ทางสงบ), Happy Money (ปลอดหนี้) และ Happy Family (ครอบครัวดี) ซึ่งองค์กรที่สนใจสามารถนำชุดความรู้ งานวิจัย เครื่องมือ สื่อ ที่ออกแบบไว้ ไปใช้ได้ รวมทั้งการ Coaching เครือข่ายองค์กรที่เข้ามาร่วมทำงาน เพื่อให้สามารถวางแผนการขับเคลื่อนที่ดี มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะนำไปใช้ และการประเมินผลว่าสิ่งที่ทำสามารถเข้าไปช่วยตอบโจทย์ตามที่องค์กรมีประเด็นเรื่องสุขภาวะด้วยอย่างไร

ทั้งนี้เมื่อพูดถึงประเภทขององค์กรที่ สำนัก 8 ร่วมทำงานด้วย ณ ปัจจุบัน คุณพงษ์ศักดิ์ได้เล่าว่า สำนัก 8 มององค์กรเป็น 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มของ “workplace” มีทั้งภาคเอกชนและภาคสาธารณะ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มของมหาวิทยาลัยซึ่งมีบุคลากรนิสิตนักศึกษาอยู่ด้วย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาเพื่อให้เข้าสู่สังคมการทำงานที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มที่สามคือกลุ่มองค์กรทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นกลุ่มที่ทำงานร่วมกับในชุมชนและมีศักยภาพสามารถเป็นแกนนำสุขภาวะได้ ทั้งนี้ทางสำนัก 8 เน้นการทำงานกับกลุ่มองค์กรพระพุทธศาสนาเป็นหลักเพราะในส่วนขององค์กรศาสนาอื่นๆ มีสำนักอื่นของ สสส. ทำงานร่วมด้วยอยู่แล้ว

เมื่อย่อยลงมาในความหมายขององค์กร คุณพงษ์ศักดิ์เล่าว่าจะมีทั้งในรูปแบบที่เป็น องค์กรที่มีรั้วรอบขอบชิดชัดเจน มีระบบงานที่ชัดเจน มีระบบสวัสดิการ สามารถวางนโยบายได้ มีโบนัสได้ มีระบบสนับสนุนสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรในองค์กรได้ ซึ่งในส่วนของกลุ่มที่หนึ่ง “workplace” จะมีกลุ่มของภาคเอกชนเล็ก กลางใหญ่ กลุ่มข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และกลุ่มของภาคประชาสังคม ซึ่งจะเป็นลักษณะของการรวมกลุ่มก่อตัวขึ้นตามเป้าประสงค์ เช่น กลุ่มธุรกิจ SME เป็นต้น ซึ่งจะมีเป้าหมายในการประกอบการเดียวกันมีลักษณะรูปแบบภาคเอกชนขนาดเล็ก

“กลุ่มของ workplace เราให้นำหนักมากที่สุดเพราะเป็นคนวัยทำงานส่วนมาก และกลุ่มมหาวิทยาลัยก็ให้ความยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะมี 2 กลุ่มประชากรในพื้นที่เดียวกันและกลุ่มพระก็จะมีวิธีการทำงานที่เรียกว่าล้อไปกับพระธรรมวินัยในการขับเคลื่อน” คุณพงษ์ศักดิ์ กล่าว

สำหรับการทำงานกับองค์กรทางศาสนา คุณพงศ์ศักดิ์เล่าว่า “พระสงฆ์เป็นทั้งผู้รับผลประโยชน์และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอ้างอิงธรรมนูญสุขภาพสงฆ์ ก็จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆ ที่จะมาร่วมขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพพระสงฆ์ อันแรกพูดถึงพระดูแลพระด้วยกันเองหรือดูแลตัวเอง อันที่สองพูดถึงชุมชนร่วมกันดูแลพระ หลายๆ เรื่องชุมชนต้องช่วย เช่น เรื่องใส่บาตรอาหารสุขภาพ อันที่สาม พระเป็นแกนนำในการที่จะร่วมดูแลสุขภาพโดยให้กับชุมชน ซึ่งต้องยอมรับว่าหลายๆ ครั้งพระลุกขึ้นมามีบทบาทในการผลักดันเรื่องสุขภาพมากขึ้น คือเรามีการทำงานกับทั้ง 3 กลุ่ม ฉะนั้นในกลุ่มของพระดูแลพระด้วยกันให้น้ำหนักเยอะ เพราะว่าเป้าของเราอยู่ที่สุขภาพของตัวพระ ยังไงให้ท่านมีสุขภาพที่ดีในมุมที่เหมาะสมแล้วก็พระดูแลสุขภาพชุมชน อันนี้คือสิ่งนึงที่เราวางทิศทางเอาไว้”

 

อยากเข้าร่วมเป็นองค์กรที่ happy มีสุขภาวะ ต้องทำอย่างไร

หลายๆ องค์กรที่มีความสนใจ อยากทำองค์กรสุขภาวะ คุณพงศ์ศักดิ์กล่าวว่า สิ่งแรกเลยที่ต้องศึกษาความหมายของการเป็นองค์กรสุขภาวะ คือรู้ก่อนว่า องค์กรสุขภาวะคืออะไร หลักๆ คือเป็นองค์กรที่เห็นความสำคัญของการดูแลสร้างเสริมสุขภาวะโดยที่ “ไม่รอให้ป่วย” …

ตรงนี้คุณพงษ์ศักดิ์อธิบายเสริมเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “เวลาที่เรามองเรื่องสุขภาพเราจะมองที่สีเขียว สีแดง คือถ้าป่วยก็ไปหาหมอ แต่เราลืมสีเขียวไป สีเขียวคือ การสร้างเสริมให้คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น maintain ไว้ หรือพาผู้ที่ยังไม่มีสุขภาพที่ดีมาก มาอยู่ที่สีเขียวให้ได้ เรากำลังทำงานกับคนกลุ่มนี้อยู่ ถ้าองค์กรเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพพนักงาน เพื่อให้องค์กรมีประชากรที่มีความพร้อมที่ดี มีความพร้อมที่จะตอบรับภารกิจ พันธกิจขององค์กรได้ อันนี้อันที่หนึ่ง”

ลำดับต่อมา คือองค์กรอยากลงไม้ลงมือไปกับ สสส. เพราะสำนัก 8 เอง ก็ไม่ได้ไปจับมือทำ องค์กรต้องมาจับมือแล้วร่วมทำไปด้วยกัน ด้วยองค์อความรู้และเครื่องมือที่ สสส. มีให้ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ สสส. ถอยออกมา ก็สามารถที่จะทำต่อได้เอง

“เราพยายามที่จะพัฒนา Active Citizen เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า เขาเป็นเจ้าของในการที่จะดูแลสุขภาพพนักงานของตนเอง” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว

ซึ่งองค์กรที่สนใจศึกษาหาข้อมูลหรือขอคำปรึกษาสามารถติดต่อตรงได้ที่เว็บไซต์ happy8workplace.thaihealth.or.th และเฟสบุ๊คของสำนัก 8: Happy Workplace องค์กรสุขภาวะ

“เรามีหลักสูตรอบรมฟรี หลักสูตรนักสร้างสุของค์กร คำความสร้างสุข คือ สุขภาพ และสุขภาวะ เรามีหลักสูตรที่จะอบรมปีละประมาณ 3 ครั้ง เราอบรมคนที่จะเป็นแกนนำในการที่จะไปขับเคลื่อนเรื่ององค์กรสุขภาวะ สามารถมาตามเฟสบุ๊คเพจเราได้ ซึ่งก็จะมีเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ในหลายๆ มิติ” คุณพงษ์ศักดิ์ เล่า

ปัจจุบันสำนัก 8 ทำงานกับเครือข่ายองค์กรหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสภาอุตสาหกรรม เครือข่ายกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เครือข่ายสมาคมธุรกิจต่างๆ หากองค์กรใดสนใจ ในเบื้องต้นสามารถดูรายชื่อสมาคมต่างๆ ในเว็บไซต์ก่อนได้ว่ามีองค์กรใดที่เข้าร่วมอยู่ก็สามารถขอเข้าร่วมได้

หากไม่มีแต่สนใจอาจจะรวมกันในลักษณะเครือข่าย มาร่วมกันพูดคุยพัฒนาข้อเสีย ปัญหาด้านสุขภาพ สุขภาวะองค์กรที่เป็นอยู่ เพื่อวางแผนพัฒนาร่วมกัน ซึ่งก็เป็นส่วนที่สำนัก 8 เปิดรับ ทั้งนี้คุณพงษศักดิ์ได้ให้ข้อแนะนำว่า องค์กรที่อยากจะเริ่มต้นควรอาศัยช่วงหลังจากการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการปักหมุด

“องค์กรไหนที่สนใจ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือหลังการตรวจสุขภาพ คุณจะชวนเขาได้ง่ายขึ้น เพราะคนเริ่มเห็นตัวเองละครับว่า what get measure get done อะไรที่โดนประเมิน สิ่งนั้นจะมีการเอามาขับเคลื่อนต่อให้เกิดผล” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว

 

เมื่อองค์กรจะเริ่มปรับเปลี่ยนสิ่งที่ต้องรู้คือ “ข้อมูล”

ซึ่งในมุมของบุคลากรในองค์กร คุณพงษ์ศักดิ์มองว่า แต่ละองค์กรมีบริบทที่แตกต่างกัน ประเด็นสุขภาวะก็แตกต่างกัน แม้กระทั่งองค์กรเดียวกัน สไตล์การทำงานของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป กลุ่มหนึ่งอาจนั่งโต๊ะ และอีกกลุ่มที่ออกไปทำงานในพื้นที่ หรือกระทั่งองค์กรเดียวกันไลพ์ไสตล์ผู้หญิงผู้ชายก็แตกต่างกัน ผู้หญิงอาจจะเนือยนิ่งมากกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ชายจะมีเรื่องพฤติกรรมเรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่มากกว่าโดยทั่วไป ผลการตรวจสุขภาพประจำปี คือการใช้ข้อมูล data เข้ามาช่วยให้เห็นว่าประเด็นสุขภาวะในองค์กรนั้นๆ มีประเด็นอะไรบ้างที่ควรเข้าไปโฟกัส ประเด็นไหนควรเป็นประเด็นเร่งด่วนและทำก่อน และเมื่อจะลงมือทำแล้วควรเลือกทำทีละเรื่องเพื่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

ซึ่ง ณ เวลานี้ สำนัก 8 เองก็ได้มีโครงการศึกษาวิจัยเพื่อนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการขับเคลื่อนเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยความร่วมมือของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ใน “โครงการการศึกษาสถานการณ์ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องของวัยทำงานในประเทศไทย เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาระบบติดตามการดูแลสุขภาพวัยทำงานอย่างบูรณาการในระดับองค์กร: สถานการณ์ปัญหาสุขภาพ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และพฤติกรรมสุขภาพวัยทำงาน”

“ขอบข่ายของเรา เน้นกลุ่มแรงงานในระบบ และโฟกัสไปที่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและอุบัติเหตุ รวมถึงสุขภาพจิตในประเด็นหลักๆ ที่ สสส. ให้ความสนใจ เพราะเป็นสิ่งที่กระทบต่อการป่วยและตายก่อนวัยอันควรมากที่สุด” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว

โครงการนี้ใช้ข้อมูลภาพรวมแรงงานในระบบทั้งประเทศไทยมาวิเคราะห์ เพื่อเอามาเปรียบเทียบและจัดลำดับ เมื่อจัดลำดับแล้ว สำนัก 8 จะใช้ตัวนี้ในการเลือกพื้นที่ ไปขับเคลื่อนแล้วก็ทดลองทำให้เป็นต้นแบบและมีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้เห็นว่า การเสริมสร้างสุขภาพในองค์กร ในขั้นตอนการทำงานก็ต้องมีการเก็บข้อมูล personal health record ไว้ด้วย และการเก็บข้อมูลนี้จะสามารถนำมาออกแบบแนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วยวิธีการแบบใดจากผลของข้อมูล

“พอเราเก็บ data มาแล้วเราก็แพลนว่าจะเอาไปใช้กับพื้นที่ที่เราไปทำนำร่อง เพื่อให้ต่อไปเราจะสามารถ forecasting ได้ว่า ประเด็นปัญหาของคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ เราจะเอาเครื่องมือ ชุดความรู้เข้าไปช่วยขับเคลื่อนให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เสร็จแล้วเราก็ต้องมีการติดตามตรงนั้นแล้วเอามาวางแผนต่อว่าต้องทำอะไรกับกลุ่มนี้อีก ถ้าเราทำสำเร็จในพื้นที่นำร่อง เราคิดว่ามันจะเป็นโมเดลส่งต่อไปในจังหวัดอื่นๆ ได้ว่า เราทำได้นะ มันสามารถติดตามได้นะ”
คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว

สำหรับการเลือกพื้นที่เพื่อลงไปนำร่อง ด้วยสำนัก 8 มุ่งเน้นสุขภาวะองค์กรเพื่อส่งเสริมคนวัยทำงานเป็นสำคัญ จึงมุ่งไปจังหวัดที่มีกลุ่มคนทำงานมาก ได้แก่ กรุงเทพ นครรราชสีมา ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น

“อย่างชลบุรีที่เราเลือก เพราะคลัสเตอร์แรงงานค่อนข้างใหญ่ และมีกลุ่มแรงงาน กลุ่มอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างหลากหลายและที่สำคัญมันอยู่ในโซนของ EEC ด้วย เป็นจุดที่มี Visibility ในระดับประเทศและระดับนานาชาติด้วย เรามองว่ามันจะมีพลังในการส่งต่อไปในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ได้อีก เราเลือกชลบุรีเป็นจังหวัดแรกแต่เราเชื่อว่าจะมีจังหวัดอื่นๆ ตามมาด้วย” คุณพงษ์ศักดิ์ อธิบาย

ความสำคัญของการนำข้อมูลมาใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ คุณพงษ์ศักดิ์อธิบายว่า ในกลุ่มคนทำงาน ในเรื่องของ Aging ที่มากขึ้น คนไทยก็ยังมีเรื่องของ NCDs อยู่พอสมควร โรคหลักๆ ที่เป็นกันมาก คือ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคสุขภาพจิตซึ่งกำลังมาแรง โรคมะเร็ง ซึ่งกลุ่มโรค NCDs พวกนี้เกิดจากพฤติกรรม ในฐานข้อมูลที่ไปเก็บ จะเก็บด้านพฤติกรรมด้วย เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การนอนให้พอ ความเครียด ซึ่งข้อมูลพวกนี้เป็นประโยชน์มาก ทำให้สามารถเลือกพื้นที่ เลือกประเด็น ช่วยให้สามารถวางแผนขับเคลื่อนโครงการได้ว่าควรจะไปลงทุนที่ตรงไหน และจะกำลังไปทำด้วยเรื่องอะไร และเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับองค์กรจะได้เห็นตัวเองด้วยจากการวิเคราะห์ชุดข้อมูลนี้ขึ้นมา

“ถ้าสังเกต ตัวองค์กรในประเทศไทยมีอยู่เยอะมาก อย่างภาคเอกชนก็ 4 แสนกว่าแห่ง ในภาครัฐก็ประมาณ 200 กรม หน่วยงานทางพระพุทธศาสนาหรือวัด ก็ประมาณ 4 หมื่นแห่ง ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ทุกที่ สิ่งที่ สสส. พยายามทำคือการสร้างต้นแบบ แต่ในการสร้างต้นแบบเราก็ต้องการข้อมูลเหมือนกันว่า กลุ่มไหนที่เราต้องเข้าไป intervention ก่อน หรือพื้นที่ไหนมีประเด็นสุขภาพอย่างไร และด้วยประเด็นไหน และเป็นที่เราต้องสามารถเข้าไปร่วมได้ด้วย จึงเป็นที่มาที่ไป ของการชวนทีม มสช. ให้มาร่วม กับเราในการที่จะไปทำข้อมูล สถานการณ์ สุขภาพ ความเจ็บป่วย และพฤติกรรมสุขภาพด้วย เพื่อที่จะชี้ว่าอุตสาหกรรมไหน พื้นที่แบบไหน มีประเด็นสุขภาพเยอะ และเป็นประเด็นอะไร เราจะได้เลือกเข้าไปทำกับพื้นที่ตรงนั้น เพราะสิ่งที่เราอยากทำ เราอยากทำกับพื้นที่ที่มีปัญหาเยอะๆ จริงๆ แล้วเราเข้าไปช่วยจัดการปัญหาของเขาได้ แล้วเราเชื่อว่าถ้าเราทำกลุ่มนี้สำเร็จ เราก็จะสามารถไปขยายผลกับกลุ่มอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน” คุณพงษ์ศักดิ์เล่า


ท้องถิ่นก็สำคัญสามารถใช้ข้อมูลสร้างนโยบายได้

 

คุณพงษ์ศักดิ์ ยังได้เชื่อมโยงไปในส่วนของการบริหารจัดการส่วนท้องถิ่นด้วยว่า ในส่วนของท้องถิ่นก็สามารถเข้ามาร่วมขับเคลื่อนได้ ในประเด็นสุขภาพ ถ้าท้องถิ่นรู้ว่าในพื้นที่มีประเด็นสุขภาพด้านใดมาก ก็สามารถทำในเชิงนโยบายและในเชิงขับเคลื่อนไปด้วยกัน ในการที่พยายามลดประเด็นเสี่ยงเหล่านี้ ที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ดีและจับต้องได้ ในการที่จะเอาไปคุยกับผู้บริหาร ในการที่จะเอาไปคุยกับภาคส่วนต่างๆ ที่จะต้องมาร่วมขับเคลื่อน

“พอทุกคนเห็น data ปุ๊บ data มันไม่โกหก data มันคือสิ่งที่บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เราจะ intervention อย่างไร แล้วจริงๆ มันไม่ได้มอง แค่มันเข้าไปแก้ปัญหาเดิม เรามองไปถึงการ forecasting ไปในอนาคตด้วย ว่าเราควรจะมีนโยบายอะไรบ้าง ที่จะทำให้ลดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ที่เกิด ที่จะส่งผลต่อสุขภาพของกลุ่มคนวัยทำงาน” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว

ซึ่งสำนัก 8 เองก็คาดหวัง อยากเห็นการติดตามแบบนี้ในระดับประเทศต่อไปด้วยเช่นกัน มีการขับเคลื่อนในเชิงข้อมูลเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทยทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ให้เป็น Healthy work for Thailand ได้ ให้คนไทยทำงานอย่างมีพลัง manage พลังงานในตัวเองได้ manage พลังใจในตัวเองได้


องค์กรควรสนับสนุนสุขภาวะคนทำงานอย่างไร

เรื่องสุขภาพดีเป็นเรื่องพื้นฐานของทุกคน และเป็นพื้นฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคลากร รวมไปถึงครอบครัวและชุมชน

“ผมคิดว่าอยากเชิญชวนให้ผู้บริหาร ทุกท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แล้วก็เริ่มมาลงมือกับเรื่องเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ก่อน เช่น ชวนให้ลดโรค ลดพุง นับก้าว อาจจะเป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องเยอะ แล้วก็ไม่ต้องลงทุนเยอะ แล้วก็สำคัญว่าสามารถเห็น quick win ได้ มันทำแล้วมันเกิดประโยชน์กับองค์กร ยิ่งหลายๆ องค์กรที่เริ่มทำแบบนี้ ก็เริ่มเห็นผลแล้วว่าพนักงาน เริ่มมีความผูกพันที่ดีขึ้น ลดความเครียดได้มากขึ้น แล้วก็มีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่อย่างน้อย ได้มีโอกาสทดลองทำ ชุดเครื่องมือในการทำ มีอยู่เยอะแยะ ทาง สสส. สำนัก 8 มีเครื่องมือเหล่านี้สามารถที่จะ มาหยิบจับไปใช้ได้ และต้องบอกว่าเรื่องเหล่านี้ ต้องค่อยๆ ทำแล้วสะสมไป เหมือนสะสมก่อนเกษียรณ ระหว่างที่คนเราเริ่มจะเกษียรณ ก็ต้องเริ่มสะสมการมีสุขภาพที่ดี มี health literacy ไปด้วยกัน อยากเชิญชวนผู้บริหารองค์กร เพราะบอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นได้ ผู้บริหารองค์กรต้องร่วมสนับสนุนด้วย” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าว พร้อมกับย้ำว่า

 

“เวลาที่ทำไปแล้ว อยากให้เก็บผลลัพธ์ด้วย อย่างถ้าเกิดอยากจะเชิญชวนให้คนไปเดิน นับก้าว หาระบบที่ช่วยให้เขาเก็บข้อมูลได้ ซึ่งพวกเครื่องมือเหล่านี้มีอยู่เต็มตลาดเลย สสส.ก็มี App สานสุข ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ แม้กระทั่งในมือถือ เราก็มี google fit ที่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลได้ พวกนี้เป็นตัวเลขที่เราสามารถเก็บแล้วก็สามารถเอามาวิเคราะห์ตัวพนักงานเราได้ และเชื่อว่ามันจะเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่จะส่งต่อ ไปถึงการทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ด้วย ข้อมูลสำคัญมาก ว่าสิ่งที่ทำเกิดประโยชน์ ไหม และจะได้เห็นว่าตัวองค์กรเกิดความเสี่ยงอะไรอีก”

 

สุดท้ายคุณพงษ์ศักดิ์ได้กล่าวย้ำเชิญชวนให้ทุกคน ทุกองค์กรหันมาตระหนักกับการสร้างเสริมสุขภาพให้เกิดขึ้น

“ทำเถอะเพราะผมเชื่อว่ามันดีกับทุกฝ่าย ดีกับตัวพนักงานเอง ดีกับครอบครัวเขา ดีกับตัวองค์กรและผมเชื่อว่ามันดีกับชุมชนและประเทศเราด้วยครับ”

องค์กรดี คนทำงานดี มีความสุข ผลลัพธ์ของการทำงานออกมาดี มี work balance ที่ดี ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย สุดท้ายปลายทางคือในระดับประเทศก็สามารถขับเคลื่อนพัฒนาประเทศได้อย่างราบรื่น และเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยได้อย่างมีสุขภาวะด้วยเช่นกัน.