ทําไมเราถึงต้องทําเรื่องนี้ !!

ปัญหาสุขภาพช่องปากยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญในระดับโลก ที่ท้าทายระบบสุขภาพทั้งในประเทศทั้งที่พัฒนาแล้วและประเทศ
ที่กําลังพัฒนาปัญหาสุขภาพช่องปากของประชาชนไทยยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่สําคัญแม้ว่าในประเทศไทยได้มีการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพช่องปากมาอย่างต่อเนื่อง
การจัดบริการการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสุขภาพช่องปากในประเทศไทย ทําให้สุขภาพช่องปากของคนไทยค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลําดับ
แต่ก็ยังมีช่องว่างในกลุ่มประชากรต่าง (ดังที่พบในการสํารวจสภาวะสุขภาพช่องปากระดับประเทศ โดยสํานักทันตสาธารณสุขกรมอนามัยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2560 (ครั้งที่ 8) โดยปัญหาสุขภาพช่องปากประชาชนไทยในแต่ละกลุ่มวัย ดังนี้

กลุ่มเด็กก่อนวัยเรียน พบว่า
ฟันผุในครึ่งหนึ่งของเด็กอายุ

3 ปีและ สามในสี่ของเด็กอายุ 5 ปีโดยเด็กอายุ 5 ปี กว่าหนึ่งในสี่มีการถอนฟันน้ำนมในช่องปากแล้ว

กลุ่มเด็กวัยเรียนกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กอายุ 12 ปีพบว่า มีฟันผุโดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุ
ถอน อุด 1.4ขี่/คน
และมีเพียงร้อยละ 61.4 ที่แปรงฟันก่อนนอน นอกจากนี้เด็กหนึ่งในสาม ทานขนมกรุบกรอบทุกวัน และเด็กนักเรียนร้อยละ 12.2 ที่ต้องหยุดเรียนเพื่อไปทําฟัน

กลุ่มเด็กวัยรุ่น พบว่า เด็กอายุ 15 ปี มีความชุกของโรคฟันผุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 62.7 มีพฤติกรรมการดื่มน้าอัดลมร้อยละ 57.1 บริโภคขนมทุกวันร้อยละ 33.1

กลุ่มวัยทํางาน มีปัญหาหลักสําคัญคือ การสูญเสียฟัน โดยการสํารวจพบว่า ฟันผุเฉลี่ย 6.6 ซึ่/คน มีการสูญเสียฟันโดยเฉลี่ย 36 /คน และกว่าสามในสี่ที่มีฟันผุที่ยังไม่ได้รับการรักษา และอีกหนึ่งในห้ามีปัญหาปริทัน โดยส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคในช่องปาก เช่น
สูบบุหรี่ เป็นต้น

กลุ่มวัยสูงอายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง มีฟันลังสบกันอย่างน้อย 4 คู่สบ กว่าหนึ่งในสามมีสภาวะ ปริทันต์ที่ทําให้ประสิทธิภาพการบดเคี้ยวลดลง โดยมีเพียงร้อยละ 38.6 ที่ไปรับบริการทันตกรรมในปีที่ผ่านมา

ทําไมเราถึงต้องทําเรื่องนี้ !!

จากความพยายามของกระทรวงสาธารณสุข ในการพัฒนา
แผนยุทธศาสตร์สุขภาพช่องปากมาเป็นเวลานาน
พบว่ายังไม่ประสบผลสําเร็จ และได้ยืนยันถึงความซับช้อนของการจัดการ และความยากในการขับเคสื่อนระบบสุขภาพช่องปากของประเทศ เพื่อพัฒนาสุขภาพช่องปากของประชาชนให้ไปในทิศทางเป้าหมายของระดับประเทศและนานาชาติ ที่ให้ความสําคัญต่อปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพและมุ่งพัฒนาระบบสุขภาพช่องปากไปพร้อมกับการพัฒนาระบบสุขภาพโดยรวม ซึ่งข้อขัดข้องสําคัญที่ทําให้การเกิดยุทธศาสตร์สุขภาพช่องปากเป็นไปได้ยาก คือ ขาดกลไกขับเคลื่อนระบบสุขภาพช่องปาก ขาดการประเมินผลเชิงระบบในเรื่องมาตรการ และโครงการแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากในระดับประเทศและระดับพื้นที่ ขาดกําลังคนที่มีศักยภาพในการ สร้างเสริมสุขภาพ ขาดความประสานร่วมมือจากภาคเอกชนและภาคท้องถิ่นและประชาสังคมให้เกิดพลังในการสร้างเสริมสุขภาพรวมทั้ง ประชาชนยังขาดความตระหนักความรอบรู้และศักยภาพในการดูแลสุขภาพตนเอง
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จึงได้ดําเนินโครงการ
“พัฒนากลไกการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพช่องปากประเทศไทย” ภายใต้การสนับสนุนทุนดําเนินงานจาก
สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โดยได้รับความร ่วมมือจากหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาร่วมขับเคลื่อนและดําเนินงานร่วมกัน
ซึ่งโครงการมีเป้าประสงค์ในการมุ่งผลลัพธ์ให้เกิดระบบสุขภาพช่องปากพึงประสงค์ที่มุ่งเน้นสุขภาพองค์รวมของประชาชน ทํางานร ่วมไปกับระบบสุขภาพภาพรวมเป็นธรรม และประชาชนเป็นเจ้าของเป็นระบบสุขภาพช่องปาก

ที่สามารถตอบสนองความต้องการและเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อที่กําหนดสุขภาพบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ผ่านการตรวจสอบความเป็นไปได้ ที่ภาคีทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่

เป้าประสงค์ของโครงการ

สร้างวิสัยทัศน์ร่วม และวิเคราะห์เชิงระบบเพื่อพัฒนาการ
ขับเคลื่อนให้เกิดระบบสุขภาพช่องปากสำหรับประเทศไทย

สร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายวิชาการและสนับสนุนนการทำงานวิชาการของเครื่อข่ายในประเด็นที่มีความสำคัญ
ทั้งในระดับนโยบายและในระบบบริการสุขภาพ

พัฒนากลไกความเชื่อมโยงเพื่อขับเคลื่อนนโยบายระดับ

ประเทศ ระหว่างภาคีวิชาการและภาคีในพื้นที่ และกลไก
นโยบายรายประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยใช้ความรู้

สื่อสารสาธารณะที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในระบบสุขภาพช่องปากและบทบาทของภาคส่วนต่างๆในการขับเคลื่อนให้เกิดระบบสุขภาพช่องปากใหม่

ORH Knowledge

ORH On The MOVE